ในการประกาศเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา Adobe กล่าวว่าจะร่วมมือกับตลาดกลาง NFT ที่สำคัญๆ เช่น OpenSea, KnownOrigin และ SuperRare เพื่อให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบผลงานได้ ด้วยการใช้ Adobe Content Credentials ที่จะสามารถสามารถเพิ่มที่อยู่ wallet ของผู้สร้างผลงาน NFT และข้อมูลโซเชียลมีเดียไปยัง metadata ของตัวโทเค็นที่ถูกลิสอยู่บนตลาด
” ความร่วมมือกันครั้งนี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ใช้ด้วยเครื่องมือที่มากขึ้น ” โฆษกของ OpenSea กล่าว ” การทำงานควบคู่กับผู้นำตลาดเช่น Adobe และชุมชน NFT ที่กำลังเติบโต เราจะให้บริการต่อไป เพื่อเพิ่มความไว้วางใจและความโปร่งใสทั่วทั้ง metaverse “
ดูเหมือนว่า feature นี้จะยังสามารถให้ผู้สร้างผลงาน NFT ใช้นามแฝงได้ โดยพวกเขาเลือกได้ที่จะแสดงที่อยู่ wallet ที่เชื่อมโยงกับตัวตนออนไลน์ของพวกเขาหรือโปรไฟล์โซเชียลมีเดียจริงทั้งหมด
Rarible เป็นตลาดซื้อขายอื่นที่นำระบบตรวจสอบของ Adobe ไปใช้ กล่าวว่าสิ่งนี้จะช่วย ” ต่อสู้กับโทเค็นปลอม ด้วยการระบุแหล่งที่มาและการตรวจสอบเนื้อหาที่มาจากผู้สร้างตัวจริง “
จากข้อมูลของ DappRadar พบว่า OpenSea เป็นตลาด NFT ที่ใหญ่ที่สุดตามปริมาณการซื้อขายรายวัน โดยรายงานว่ามีมูลค่ามากกว่า $50M ณ ขณะนี้ SuperRare, Rarible และ KnownOrigin อยู่ในอันดับที่ต่ำกว่ามากด้วยปริมาณการซื้อขายรายวันประมาณ $1M, $328,000 และ $42,000 ตามลำดับ